รถคันแรก – ปรากฏการณ์แรก

June 22nd, 2015

รถยนต์คันแรกจากแนวคิดประชานิยมของรัฐบาลชุดปัจจุบันได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในประวัติศาสตร์ของประเทศไทยหรืออาจจะเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของโลกที่จะต้องถูกจารึกไว้

ตัวเลขยอดขายล่าสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2555 มีผู้จองและซื้อรถยนต์คันแรกตามนโยบายคืนภาษีไม่เกิน 100,000 บาทสูงถึง 1,250,000 คัน

คิดเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคลกว่า 700,000 คัน

คิดเป็นรถกะบะเพื่อการพาณิชย์กว่า 200,000 คัน

และที่เหลืออีกประมาณเกือบ 300,000 คัน เป็นรถกะบะที่เรียกว่า Cab

จากการรายงานของยอดขายทั้งหมด 1,250,000 คัน

70% ของรถยนต์คันแรกจะอยู่ในต่างจังหวัด

ส่วนที่เหลืออีก 30% จะอยู่ในกรุงเทมหานคร

ยอดเงินภาษีที่ทางรัฐบาลจะต้องนำคืนให้กับเจ้าของรถยนต์คันแรกทั้งหลายมีมูลค่าสูงถึง 90,000 ล้านบาท

เหตุการณ์ดังกล่าวน่าจะเป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ประเทศไทยที่มียอดจองและสั่งซื้อรถยนต์ที่สูงที่สุด ไม่ว่าจะถูกจัดอยู่ในรถยนต์ประเภทใดก็ตาม ไม่รวมยอดจองและสั่งซื้อจากรถยนต์ที่ไม่ได้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มรถยนต์คันแรก

ผมลองคิดคำนวนเล่นๆดู

เอา 1,250,000 คันตั้งและคูณด้วยความยาวโดยเฉลี่ย 3 เมตรต่อคัน

ความยาวทั้งหมดจากรถยนต์คันแรก 1,250,000 คัน จอดชิดๆกัน จะได้ความยาวทั้งสิ้นถึง 3,750,000 เมตร หรือ 3,750 กิโลเมตร คิดเป็นความยาวของระยะทางจากกรุงเทพฯ เลยประเทศไต้หวันไปหน่อย เกือบจะเข้าประเทศญี่ปุ่น หรือเส้นทางจากกรุงเทพฯ ไป-กลับ เชียงใหม่ 6.5 เที่ยว

น่ายินดีด้วยกับพนักงานในบริษัทค่ายรถยนต์ต่างๆ โดยเฉพาะที่มีรุ่นประเภทไม่เกิน 1,500 ซีซีจำหน่าย ต่างได้รับโบนัสก้อนโตไปเป็นค่าตอบแทนจากผลประกอบการที่ดีเกินคาด เพื่อเป็นกำลังใจในการทำงาน

ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร จะรักหรือเฉยๆกับรัฐบาลชุดนี้ ผมยืนยันได้ว่าไม่มีใครที่จะปฏิเสธขอเสนอแนวคิดประชานิยมรถยนต์คันแรกนี้ได้อย่างแน่นอน

ในมุมของการสร้างแบรนด์ถือได้ว่าแนวคิดประชานิยมสอบผ่าน เปรียบเสมือนกับการทำโปรโมชั่นลด แลก แจก แถม เพื่อสร้างความประทับใจสูงสุดให้กับผู้บริโภคและที่สำคัญคือการทำ CRM (Customer Relationship Management) ในกลุ่มผู้บริโภคปัจจุบันให้เกิดความจงรักภักดีต่อแบรนด์นั้นๆเพื่อไม่ให้ผูบริโภคของตนหันเหความสนใจจากสินค้าหรือบริการของตนไปซบอกคู่แข่งในที่สุด

ผู้บริโภคมักชอบแนวคิดลด แลก แจก แถม

เป็นเรื่องปกติของผู้ประกอบการที่จะปล่อยทีเด็ดกลยุทธ์เหล่านี้ออกสู่ตลาดเพื่อดึงดูดความสนใจในการแข่งขัน เพื่อให้ตนสามารถรักษาฐานอำนาจในการเป็นผู้นำในตลาด

ไม่มีผู้บริโภคคนใดที่จะไม่ยอมรับเงื่อนไขประเภทลด แลก แจก แถม ต่อให้ผู้บริโภคคนนั้นมีสถานะทางสังคมสูงส่งเพียงใดก็ตาม

เฉกเช่นเดียวกับนโยบายประชานิยมรถยนต์คันแรก

คนส่วนหนึ่งก็มีปัญญา มีฐานะที่ดีทางสังคม แต่ท้ายสุดคนมีฐานะเหล่านี้ก็ตกหลุมพรางหาทางครอบครองสถานะการเป็นเจ้าของรถยนต์คันแรกไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม

ผมเห็นคนต่างความเห็นกับรัฐบาลชุดนี้ไปถอยรถยนต์คันแรกกันมามากพอสมควร ปากก็ว่าแต่ตาก็ขยิบ

เหมือนกับกลไกของการตลาดที่มีการแข่งขันเพื่อครอบครองความเป็นที่ หนึ่ง

ผมเองก็เป็นคนปกติคนหนึ่งในสังคมปัจจุบัน

วันนี้จงรักภักดีกับแบรนด์สินค้าแบรนด์หนึ่ง

ชมเช้า ชมเย็น ชมแบบออกนอกหน้า จนเพื่อนพากันหมั่นไส้ แถมยังดูถูกเหยียดหยามแบรนด์ที่เป็นคู่แข่งของแบรนด์ที่ผมใช้อีกต่างหาก

เพียงไม่กี่วันผ่านไปแบรนด์คู่แข่งมีการจัดโปรโมชั่นลด แลก แจก แถม ที่มีทีเด็ดเหนือกว่าและมากกว่าแบรนด์ที่ผมใช้อยู่ปัจจุบัน

ไม่ต้องคิดให้เสียเวลา ผมกระโจนเข้าไปหาแบรนด์ที่เป็นคู่แข่งนั้นทันที

ไม่มีศัตรูที่แท้จริง และไม่มีมิตรที่ถาวร คงเป็นวลีที่ศักดิ์สิทธิ์เหนือสิ่งใด

ผมเชื่อว่าหลังจากที่คุณได้ครอบครองรถยนต์คันแรกที่คุณเพิ่งจะถอยออกมาจากอู่

เพียงไม่กี่วันถัดไปคุณก็จะลืมคุณงามความดีของแบรนด์รัฐบาลชุดนี้ เพราะพฤติกรรมดังกล่าวเป็นพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีจิตใต้สำนึกที่เป็นผู้บริโภคตัวจริง จะโทษ จะโกรธพวกเขาไม่ได้

นโยบายประชานิยมรถยนต์คันแรกเพียงแค่สอบผ่าน

เราต้องคอยดูในฉากต่อไปว่าจะมีผลลัพธ์อะไรที่จะตามมาในเชิงโอกาสและหายนะ

คุณเคยเห็นไหมว่าผู้ประกอบการบางรายต้องถึงขนาดกลับบ้านเก่าเพียงเพราะต้องการขายสินค้าของตนให้ได้มากๆ มีส่วนแบ่งการตลาดมากๆ และเพียงเพื่อให้ผู้บริโภครักเขามากๆ โดยไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมาในระยะยาว

เพื่อความเป็นธรรมกับนโยบายประชานิยมรถยนต์คันแรก

โอกาสที่จะตามมาในระยะสั้นและในระยะยาวก็คือ ผลพลอยได้ในธุรกิจประกันภัยรถยนต์ที่รถยนต์ทุกคันจำเป็นจะต้องมีการประกันภัยตามกฏหมาย ไม่ว่าจะเป็นประกันภัยชั้นใดก็ตาม

และยังมีอีกหลากหลายธุรกิจที่ได้รับอนิสงค์จากนโยบายรถยนต์คันแรกเช่น

ไฟแนนซ์รถยนต์ ประดับยนต์ อุปกรณ์เครื่องเสียง วีดีทัศน์ในรถยนต์ ฟิล์มกรองแสง อู่ซ่อมบำรุง อะไหล่ ยางรถยนต์ ทางด่วน พลังงาน และแน่นอนกรมการขนส่งทางบกที่มีบทบาทและหน้าที่ในการต่อทะเบียนรถยนต์ทุกคันในประเทศไทย แต่ก็ไม่รู้ว่าได้คุ้มมากกว่าเสียหรือเปล่าเพื่อแลกกับเงินภาษีสรรพสามิตที่ต้องคืนเป็นวงเงินสูงถึง 90,000 ล้านบาท

หลายสำนัก หลายแหล่งข่าวได้พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เราสามารถสร้างระบบขนส่งมวลชนได้หนึ่งเส้นทาง ประมาณว่าเส้นทางที่เป็นสีใดสีหนึ่งได้อย่างสบาย

คงมีข้อโต้แย้งจากผู้ที่อาศัยอยู่ในต่างจังหวัดว่าแล้วพวกเขาจะได้ประโยชน์อะไรจากการสร้างระบบขนส่งมวลชนในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นจังหวัดที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตที่ส่งให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนต่างจังหวัด

ก็เป็นเรื่องที่น่าคิด แต่อย่าลืมว่าการจราจรในกรุงเทพฯ ณ วันนี้ที่ยังไม่มีรถยนต์คันแรกอีก 1,250,000 คันที่กำลังจะออกมาวิ่ง ก็ทำให้ชีวิตของคนเมืองสาหัสมากพอสมควรอยู่แล้ว

คุณเคยคิดไหมว่าปัญหาที่จอดรถซึ่งไม่เพียงพอในการรองรับจำนวนรถยนต์ในปัจจุบันกำลังจะกลายเป็นหายนะที่ใหญ่หลวงมาก

คนที่อาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมคงจะรู้ดีว่าคุณจะนำรถยนต์คันใหม่ไปจอดที่ไหนในสภาพของคอนโดมิเนียมที่มีจำนวนที่จอดรถแบบจำกัด

ไม่ต้องกล่าวถึงที่จอดรถในสำนักงานที่ปัจจุบันก็วนหาที่จอดรถกันเป็นเวลานานจนทำให้พนักงานบริษัทหลายคนต้องเข้าทำงานสายกันเป็นแถว

มีหลายคนบอกว่าปี 2556 จะเป็นปีแห่งรถยนต์มือสองในราคาที่ถูกเพราะเจ้าของรถยนต์คันแรกมีปัญญาจอง มีปัญญาถอยออกมาแต่อาจจะไม่มีปัญญาผ่อนในระยะกลางจนถึงระยะยาว

คล้ายๆกับวัฏจักรทางการตลาด

ระบบผ่อนส่งหรือเงินผ่อนในทุกอุตสาหกรรมเป็นห่วงโซ่ของโอกาสและอุปสรรค

สุดท้ายก็มีคนกลุ่มหนึ่งที่ได้เปรียบกว่าและคนอีกกลุ่มหนึ่งที่อาจจะเสียเปรียบกว่า

ผมลองคิดเล่นๆดู

ภายในสิ้นปี 2556 นี้บริษัทยางรถยนต์ ประกันภัยรถยนต์ ไฟแนนซ์รถยนต์ ประดับยนต์ พลังงาน หรือแม้กระทั่งบริษัทท้วงหนี้ตามหนี้ คงมียอดรายได้ผลประกอบการที่ดีเกินคาด ส่งผลให้พนักงานต่างรับทรัพย์กันถ้วนหน้า

อย่าลืมเตรียมซื้อหุ้นในบริษัทพลังงานเพราะถ้าคิดสมการกันเล่นๆ รถยนต์ 1 คันเพียงใช้น้ำมันแค่ 5 ลิตรต่อวัน บริษัทพลังงานก็จะขายน้ำมันได้เพิ่มขึ้นอีก 6,250,000 ลิตรต่อวัน หรือ 2,300 ล้านลิตรต่อปี หรือคิดเป็นรายได้ 80,000 ล้านบาทต่อปี (โดยค่าเฉลี่ยของราคาน้ำมันทุกประเภท)

ผมว่าคนไทยโดยเฉพาะคนกรุงเทพฯกำลังเผชิญกับคุณภาพชีวิตที่แย่ลง

คนกรุงเทพฯมีชีวิตที่สั้นลงเพราะคุณต้องติดอยู่ในรถยนต์ที่นานมากขึ้นบนท้องถนน

ทุกวันนี้เวลาผมเดินทางออกต่างจังหวัดในช่วงตี 5 ที่สวนทางกับคนที่ต้องเดินทางเข้าเมืองเพื่อมาทำงาน

ผมจะเห็นรถยนต์หนาแน่นติดอยู่บนทางด่วนในช่วงเข้าเมืองตั้งแต่เวลาตี 5

คุณลองนึกดูสิว่าคนเหล่านี้เขาจะต้องตื่นตีเท่าไหร่

ชีวิตมีแต่ลำบากขึ้นและลำบากขึ้น

อยากให้ภาครัฐบาลแก้ปัญหาให้ถูกจุด

น่าจะลองตั้งโจทย์ดูว่าจะทำอย่างไรให้พวกเราไม่ต้องมีรถยนต์

เหมือนกับในประเทศญี่ปุ่นหรือในยุโรปที่ผู้คนสามารถนั่งรถไฟหรือขี่จักรยานเข้ามาทำมาหากินในเมืองได้

อย่าเพิ่งท้อขอให้ทุกคนสู้ต่อไปครับ

Categories: Uncategorized |

Leave a comment

You must be logged in to post a comment.