ชื่อ (แบรนด์) นั้น สำคัญไฉน??
January 27th, 2009
ประเดิมบทความแรกด้วยหัวข้อ ชื่อ (แบรนด์) นั้น สำคัญไฉน
หวังว่าคงถูกอกถูกใจสำหรับคนที่จะเริ่มต้นสร้างแบรนด์นะคะ
ลองอ่านบทความนี้และทบทวนชื่อธุรกิจของตัวเองกันดูนะคะ
ว่าเหมาะสมดีแล้วรึยัง?? อนาคตข้างหน้ายังรออยู่นะคะ..สู้..สู้..
ขอขอบคุณบทความดีๆ จาก อาจารย์ สรณ์ จงศรีจันทร์ ด้วยนะคะ
ชื่อ (แบรนด์) นั้น สำคัญไฉน
ภายใต้หัวข้อนี้ ผมขอยืมแนวคิดในการตั้งชื่อแบรนด์ที่น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นในสถานีแรกๆ จากคุณชลกานต์ วิสุทธิ-พิทักษ์กุล Managing Partner ที่ทำงานร่วมกับผมมานานกว่า 10 ปี เธอได้รวบรวมแนวคิดในการตั้งชื่อแบรนด์ไว้อย่างน่าสนใจ จนผมขอให้เธอนำมาเผยแพร่ในหนังสือเล่มนี้ ให้กับผู้ประกอบการและผู้สนใจทั่วไปได้นำไปลองประยุกต์ใช้ดู
การตั้งชื่อแบรนด์ให้กับสินค้าใหม่นั้น บางทีก็ดูเหมือนเป็นเรื่องยากแสนยาก ว่าจะตั้งชื่อสินค้านั้นว่าอะไรดี ชื่อดีๆเหล่านั้นจะเริ่มคิดมาจากไหน โดยมากจะจับต้นชนปลายไม่ถูกเลยขอนำเสนอแนวทางให้การคิดและตั้งชื่อสินค้าเบื้องต้นว่า มันจะเป็นไปในทางไหนได้บ้าง
1. ตั้งชื่อแบรนด์ ตามชื่อเจ้าของ
การตั้งชื่อแบบนี้เป็นที่นิยมมายาวนาน แทบจะเรียกว่าเป็นวิธีการคลาสิกที่ปฎิบัติกันมาแต่ดึกดำบรรพ์ โดยอาจจะเป็นชื่อเจ้าของ ชื่อลูก ชื่อตระกูล ก็ได้ทั้งนั้น เช่น
ร้านเฟอร์นิเจอร์ นันทขว้าง, ร้านขายผ้าไหม Jim Thompson, ร้านขายขนม เพรซเซลของป้าแอนด์Aunties Ann’s, ร้านไอศกริม Swenesen’s ชื่อเจ้าของคือ Earle Swensen’s, แหนมป้าย่น น้ำพริกหนุ่มเจ๊หงส์ หมูหยองลิ้มจิงเฮียง ก๋วยเตี๋ยวไก่แม่ศรีเรือน เป็นต้น
ข้อพึงระวังของชื่อแนวนี้ คือถ้าชื่อของคุณเป็นชื่อทั่วๆไปที่อาจซ้ำกับผู้อื่นได้ง่าย ช่วงแรกที่คนยังไม่ค่อยรู้จักตราสินค้าของคุณ ก็อาจมีการสับสนได้ เช่น ทุเรียนกวน ปรานี กับ ซอสพริก ปรานี คนอาจจะงงว่าเจ้าของเดียวกันมั๊ย หรือเกี่ยวกันอย่างไร
2. ตั้งชื่อแบรนด์ ตามชื่อทำเลที่ตั้ง ที่ผลิต หรือแหล่งที่มีชื่อเสียงของสินค้าประเภทนั้นๆ เช่น
The River Condominium, โรงพยาบาลกรุงเทพ, Phuket beer, สถาบันสอนภาษา Wall Street, California Fitness, The Bangkok Condominium, น้ำผลไม้ Tropicana เป็นต้น ข้อพึงระวังของการตั้งชื่อแนวนี้ คือถ้าสินค้าหรือบริการของเราขยายไปในทำเล พื้นที่อื่นๆ คนอาจจะงงได้ เช่น โรงพยาบาลกรุงเทพ แต่ตั้งอยู่ที่พัทยา หรือ คอนโดมิเนียม The River แต่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองที่ไม่มีแม่น้ำผ่านเลย เป็นต้น
3. ตั้งชื่อแบรนด์ ตามคุณลักษณะภายนอกของสินค้า เช่น
ถั่ว Green Nut, น้ำดื่ม Crystal, ร้านเฟอร์นิเจอร์ Modern Form, ขนมอบกรอบ ปูไทย
4. ตั้งชื่อแบรนด์ ตามคุณประโยชน์ หรือ การลักษณะการใช้งานของสินค้า เช่น
เครื่องดื่มแก้อาการเมาค้าง ตรา แฮ้งค์ , วิตามินเสริม บำรุงข้อ ตรา Joint Care, ครีมเทียม ตรา Coffeemate ซึ่งมีความหมายว่าเป็นเพื่อนคู่หูกับกาแฟ , ยากันแดด ตรา Sun Play, ร้านสะดวกซื้อ am/pm ซึ่งสื่อความหมายว่าเปิดตลอดทั้งวันทั้งคืน, น้ำยาทำความสะอาดพื้น Magic Clean, อาหารเสริมลดน้ำหนัก SlimFast เป็นต้น
5. ตั้งชื่อแบรนด์ ตามแนวคิดในการผลิตและพัฒนาสินค้า เช่น
• เดอะลิงค์ คอนโดมิเนียม ซึ่งตั้งอยู่ในแนวรถไฟฟ้า สามารถเชื่อมต่อไปได้ทุกที่
• บ้านเดอะคอนเนค ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างชานเมืองและใจกลางเมือง สมารถเชื่อมต่อไปได้ทุกที่
• พรานทะเล ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแช่แข็ง
• บริษัทให้บริการเช่ารถยนต์ Budget ซึ่งให้เช่ารถในราคาไม่แพง
• Quick Cash เป็นบริการให้กู้เงินด่วน
6. ตั้งชื่อแบรนด์ ตามชื่อสามัญของสินค้า เช่น
บ้าน Land & Houses, นิตยสาร บ้านและสวน, The Pizza Company, The Address Condominium, ยาสระผม Head & Shoulder, ร้านเย็นตาโฟทรงเครื่อง เป็นต้น
วิธีการแบบนี้ ก็เป็นที่นิยมมากสินค้าปะเภท OTOP เช่น วุ้นมะพร้าว, สับปะรดกวน, น้ำพริกตาแดง เป็นต้น การใช้ชื่อสามัญมาเป็นชื่อแบรนด์ มีข้อดีคือ สื่อได้ทันทีว่าแบรนด์เราเป็นสินค้าอะไร แต่ข้อเสียก็คือ ต้องลงทุนในการสร้างแบรนด์ให้คนรู้จัก ไม่เช่นนั้น ผู้บริโภคอาจจะคิดว่าเป็นสินค้าที่ไม่มียี่ห้อก็ได้
7. ตั้งชื่อแบรนด์ ตามชื่อที่เพี้ยนมาจากชื่อสามัญของสินค้า
โดยมากจะเป็นสินค้าเกี่ยวกัยอาหารและยา เพราะข้อกำหนดของ อ.ย. ทำให้เขาไม่สามารถอวดอ้างหรือบอกสรรพคุณของสินค้าได้ ดังนั้นจึงต้องมีการพยายามที่จะเชื่อมโยงกับคำสามัญที่บอกคุณสมบัติหรือประโยชน์ของสินค้า เพื่อสื่อว่าสินค้ายี่ห้อนี้ดีอย่างไร ตัวอย่างเช่น
• Calcimex Beautiva คือ นมที่มีทั้งแคลเซียมสูง แถมกินแล้วยังสวยอีกด้วย
• Beauti Shot คือ เครื่องดื่มคอลลเจน ที่พยายามสื่อว่าดื่มแล้วจะสวย
• Healti Shot คือ เครื่องดื่มคอลลเจน ที่พยายามสื่อว่าดื่มแล้วจะสุขภาพดี
• Wakie คือเครื่องดื่มแก้เมาค้าง ที่พยายามสื่อว่า ดื่มแล้วจะ ตื่น wake up
8. ตั้งชื่อแบรนด์ ตามชื่อสามัญของสินค้าที่เป็นภาษาต่างชาติ เช่น
• ร้านอาหารเวียดนาม PHO ซึ่ง เฝอแปลว่า ก๋วยเตี๋ยวในภาษาเวียดนาม
• ยากันยุง Kayari ซึ่ง คายาริในภาษาญี่ปุ่น แปลว่ายากันยุง
• ชาเขียว Oishi ซึ่ง โออิชิ แปลว่า อร่อยในภาษาญี่ปุ่น
• ร้านอาหารจีน ซั่งไฮ้ เสี่ยวหลงเปา แปลว่าซาลาเปาจากเมืองเซี่ยงไฮ้
• ร้านเบเกอรี่ การ์โตว์เฮ้าส์ มาจากภาษาฝรั่งเศส ที่ Gateaux แปลว่า ขนมเค้ก
9. ตั้งชื่อแบรนด์ ตามลักษณะอาการที่อยากให้เกิดขึ้นภายหลังการใช้สินค้า
• น้ำยาปรับผ้านุ่ม Comfort เหมือนว่าใช้แล้ว ผ้าจะนุ่มใส่สบาย
• สบู่อาบน้ำ Be Nice เหมือนว่าใช้แล้วจะน่ารัก น่าเอ็นดู
• ร้านอาหาร To Die For เหมือนว่า อร่อยจวนยอมตายเพื่อให้ได้กิน
• เก้าอี้ Lazy Boy เหมือนว่า นั่งแล้วสบายมาก ขี้เกียจลุกเลย
• สายการบิน 1-2-Go เหมือนว่า เป็นสายการบินที่ไม่ยุ่งยากในการเดินทาง แค่ 2 ขั้นตอนก็ไปได้แล้ว
• แผ่นรองอนามัย CareFree ที่ให้คุณไม่ต้องกังวลใดๆ
10. ตั้งชื่อแบรนด์ ตามส่วนผสม หรือวิธีการผลิตของสินค้า เช่น
• โยเกิร์ตโฟโมสต์ โอเม็ก 3 ซึ่งมีส่วนผสมของ โอเมก้า 3
• เครื่องดื่มบำรุงสุขภาพ Collagen E ซึ่งมีส่วนผสมของ คอลลาเจน
• ยาสีฟัน Salz ซึ่งงมีส่วนผสมเป็นเกลือ
• สารให้ความหวาน ตรา Lite Sugar
• ขนมอบกรอบตรา Corn-ne (อาจจะคุ้นกับภาษาไทยที่สะกดว่า คอนเน่) ซึ่งผลิตมาจากข้าวโพด
• ปลาหมึกอบกรอบตรา Squidy (อาจจะคุ้นกับภาษาไทยที่สะกดว่า สควิดดี้) ซึ่งผลิตมาจากปลาหมึก
• ร้านกาแฟ 94 Coffee ซึ่งผลิตกาแฟให้อร่อยด้วยวิธีการต้มกาแฟที่อุณหภูมิ 94 องศา
ข้อพึงระวังของการตั้งชื่อแนวนี้ คือการสร้างความเข้าใขผิดให้แก่ผู้บริโภค เพราะบางทีชื่อส่วนผสมที่นำมาตั้ง อาจจะไม่ได้เป็นส่วนผสมหลักของสินค้าก็ได้
11. ตั้งชื่อแบรนด์ ตามชื่อแบรนด์แม่ของสินค้า กรณีเป็นการแตกตัวเพิ่มเติมจากแบรนด์เดิมที่มีอยู่แล้ว ซึ่งวิธีการนี้ ก็เป็นการขยายไลน์สินค้าโดยทั่วไปของแบรนด์ใหญ่ เช่น
• โอวัลติน, โอวัลตินไวท์มอลต์, โอวัลติน สวิส
• แบรนด์ซุปไก่สกัด, แบรนด์รังนก
• เนสกาแฟ, เนสกาแฟ โกลด์, เนสกาแฟโพเท็กส์
• บรีส, บรีสเอ็กเซล, บรีสคัลเลอร์
• เดโล, เดโล โกลด์, เดโล ซิลเวอร์, เดโล สปอร์ต
ข้อพึงระวังของแนวทางนี้ คือ พลังของแบรนด์แม่จะครอบคลุมไปถึงแบรนด์ใหม่ๆที่ออกมาจนอาจกลืนความใหม่ของสินค้าไปได้ ถ้าสร้างแบรนด์ไม่ชัดเจน ผู้บริโภคก็อาจเข้าใจว่ามันคือสินค้าเดียวกันหมด
12. ตั้งชื่อแบรนด์ เป็นชื่อย่อ อาจเป็นชื่อย่อของชื่อบริษัท หรือชื่อแบรนด์ภาษาไทย หรือชื่อย่อที่มาจากวิธีการใดวิธีการหนึ่งของ 11 แนวทางที่เสนอไปเบื้องต้น เช่น
• โรงภาพยนตร์ SF มาจาก Sahamongkol Film (สหมงคลฟิล์ม)
• ร้านอาหาร S&P มาจากชื่อและนามสกุลของเจ้าของ คือ ภัทรา ศิลาอ่อน โดยเลือกใช้ชื่อสกุลขึ้นก่อน
• เครื่องใช้ไฟฟ้า LG ก็ย่อมาจากชื่อเดิมคือ Lucky Gold star
• ไส้กรอก ตรา TGM ย่อมาจากชื่อบริษัท Thai German Meat product company
• MTV ย่อมาจาก Music Television
13. ตั้งชื่อแบรนด์ เป็นชื่อที่ผสมของแนวทางต่างๆ ที่นำเสนอมาข้างต้น เช่น
Siam Paragon มาจากชื่อทำเล คือสยามสแควร์ หรือ ประเทศไทย และ Paragon ซึ่งเป็นจุดยืนของแบรนด์คือ ความเป็นเลิศ เป็นต้นแบบของห้างที่ดีที่สุด
ทั้ง 13 แนวทางที่กล่าวมา เป็นเพียงแนวทางเบื้องต้นในการหาหลักยึดเกาะว่า ชื่อแบรนด์เรานั้นจะเป็นชื่ออะไรได้บ้าง แต่การตั้งชื่อแบรนด์ก็อาจจะเป็นแนวทางอื่นๆอีกก็ได้ แล้วแต่จินตนาการ เหตุผล ที่มาและข้อจำกัดของเรา เช่น มีชื่อแบรนด์แรกเป็นชื่อดอกไม้ เมื่อแตกแบรนด์เพิ่มก็อาจจะคิดให้เป็นชื่อดอกไม้พันธุ์อื่นๆก็ได้
เมื่อคุณได้ชื่อแบรนด์มาแล้ว ก็น่าจะลองเปรียบเทียบกับคู่แข่งในท้องตลาด ว่าใกล้เคียงหรือซ้ำกับเขาหรือไม่ และน่าจะคิดเผื่ออนาคตด้วยว่า ถ้าเราจะส่งออกแบรนด์นี้ไปต่างประเทศ ก็น่าจะอ่านออกง่ายและใช้ได้เหมือนกัน
***************************************************************************************
Categories: Articles Anything | Tags: ชื่อแบรนด์นั้นสำคัญไฉน | 4 Comments