April 21st, 2009
Brand Monologue Versus Brand Dialogue
มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่แปลกและตลก
ชอบสอดรู้สอดเห็น อยากรู้โน่น อยากรู้นี่
ชอบยุ่งกับเรื่องของชาวบ้าน
ชอบซน ชอบอยากลอง
ที่ไหนมีป้ายบอกว่า “กรุณาอย่าจับ” ก็จะเอานิ้วเข้าไปแตะๆดู
ที่ไหนบอกว่า “กรุณางดใช้เสียง” ก็จะลุกขึ้นมาเอะอะโวยวายทันที
แบบนี้เรียกว่าชอบสวนกระแส ชอบสวนทาง ชอบชนะ
ผู้บริโภคไม่ชอบให้เจ้าของสินค้าหรือบริการมา “สั่ง” ให้พวกเขาทำโน่น ทำนี่
การ “บอก” การ “เล่า” ไม่เหมือนกับ “การพูดคุยกัน” หรือ “การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน” ผู้บริโภคชอบให้คนรอบข้างเคารพในตัวเขาและฟังความคิดเห็นจากพวกเขา
ผู้บริโภคเป็นเผ่าพันธุ์ที่เข้าใจยากที่สุด เอาใจยากที่สุด
แต่ในความเป็นจริง ถ้าเข้าใจพวกเขาแล้ว จะรู้ว่าผู้บริโภคเป็นเผ่าพันธุ์ที่เอาชนะได้ง่ายที่สุด
นานมาแล้วก่อนที่จะมีคำว่า “Digital” ที่เข้ามามีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันของผู้บริโภค การสร้างแบรนด์โดยผ่านการโฆษณาหรือการประชาสัมพันธ์ จะเป็น Monologue ไปแทบทั้งหมด
เจ้าของสินค้าหรือบริการมีอะไรจะบอกกับผู้บริโภคในตัวสรรพคุณหรือคุณประโยชน์ของสินค้าหรือบริการ ก็จะจับทุกอย่างเข้ามารวมกันที่ชิ้นงานโฆษณานั้น ไม่ว่างานโฆษณาจะออกมาเป็นรูปแบบใดก็ตามเช่น โฆษณาทางทีวี สิ่งพิมพ์ วิทยุ
เมื่อคิดว่าสิ่งที่จะบอกกับผู้บริโภคเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้วก็จะให้เอเจนซี่คู่ใจผลิตชิ้นงานโฆษณานั้นขึ้นมา แล้วก็ปล่อยออกอากาศด้วยงบประมาณที่พอเพียงมีประสิทธิภาพ
หลังจากนั้นก็มีการทำวิจัยเพื่อสำรวจว่าผู้บริโภคหรือกลุ่มเป้าหมายมีความเข้าใจและความชอบต่อโฆษณาชิ้นนั้นหรือไม่?
ถ้าไม่เข้าใจหรือไม่ชอบ ก็จะนำโฆษณาชิ้นนั้นกลับมาทำการแก้ไขเพิ่มเติม แล้วก็ส่งผ่านสื่อโฆษณาออกไปอีก จนกว่าผลการวิจัยจะเป็นที่ชื่นชอบต่อเจ้าของสินค้าที่อยู่ในร่างของ Product Manager
ในแบบสอบถามเองก็มีคำถามที่เกี่ยวเนื่องกับความสนใจต่อการ “ทดลองใช้สินค้า” ในเบื้องต้น ซึ่งจริงๆแล้วผู้บริโภคไม่มีความสนใจแม้จะทดลองแต่ก็ช่วยไม่ได้ที่จะตอบว่า “สนใจจะทดลองหรือสนใจจะซื้อ” เพียงเพราะว่า “เกรงใจ” นักศึกษาที่เป็นผู้สอบถามแบบคำถามวิจัยนั้น
นานมาแล้วอีกเช่นกัน มีรถยนต์จากค่ายยุโรปยี่ห้อหนึ่งที่พยายามจะบอกจุดยืนของสินค้าตนว่าเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่ “ปลอดภัยที่สุด” ยี่ห้อหนึ่งในตลาด
ในชิ้นงานโฆษณา มีรูปโครงสร้างของรถยนต์ดังกล่าวที่ทำมาจากเหล็กกล้าชั้นดีมีคุณภาพสูง คอยปกป้องห้องโดยสารแบบรถเกราะอย่างไงอย่างงั้น
แล้วยังมีรูปของรถยนต์ดังกล่าวที่ถูกทดสอบโดยการนำไปชนในห้องทดสอบ ผลปรากฏว่าส่วนหน้าที่เป็นห้องเครื่องยนต์และส่วนหลังที่เป็นกระโปรงท้ายรถ บุบยับยู่ยี่ไปหมด ยกเว้นห้องโดยสารที่อยู่ในสภาพเดิมแทบทุกอย่าง
หุ่นทดลองที่เปรียบเสมือนคนขับและคนโดยสารในรถคันดังกล่าว อยู่ในสภาพปกติเช่นเดียวกัน ถ้าเปรียบเป็นคนก็คงมีอาการเพียงแค่คอเคล็ดเล็กน้อยเท่านั้น
และถ้ายังจำกันได้ (แต่คิดว่าคงจำกันไม่ได้ด้วยเวลาที่ผ่านไปนานมากแล้ว) รถยนต์คันดังกล่าวเคยมีการใช้ Advertorial ที่ใช้แนวคิดของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจริงในจังหวัดหนึ่งที่ภาคเหนือของประเทศไทย รถยนต์คันนี้เกิดอุบัติเหตุวิ่งแหกโค้งและตกเหว ลงมาหลายสิบเมตร รถคันนี้พังยับเยิน แต่คนขับก็สามารถคลานออกมาจากรถที่ตกลงไปในเหวลึก กลับขึ้นมาบนถนนใหญ่ เพื่อขอความช่วยเหลือจากคนขับรถที่ผ่านไปมาบนถนนเส้นนั้น
สุดท้ายคนขับรถยนต์ยี่ห้อนี้รอดตายอย่างปาฏิหาริย์ ไม่มีอาการบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นต้องนอนให้น้ำเกลือหรือหยอดน้ำข้าวต้มที่โรงพยาบาล
Advertorial ชิ้นนั้นมีรายละเอียดมากมายแต่ก็ได้นำเสนอแต่ความจริงในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ขับขี่ที่โชคร้ายคนนั้นและรถยนต์ที่มีความแข็งแรงและปลอดภัยที่สุดแบรนด์หนึ่ง
ในวันนั้นทุกอย่างดูน่าเชื่อถือ แต่ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่มีประสิทธิภาพในการสื่อสารแบบ Monologue จะได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคในวันนี้หรือเปล่า?
แนวความคิดในการสื่อสารของรถยนต์ยี่ห้อนี้เป็นไปในรูปแบบของ Hard Sell Approach ที่ใช้วิธีการนำเสนอแต่ความจริง (Fact & Information) ต่อผู้บริโภค
ไม่มีอะไรผิด ไม่มีอะไรเสียหาย เพียงแต่ว่าแนวทางการนำเสนองานแบบนี้ในปัจจุบันคงเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคอาจจะรู้สึกว่า “โฆษณาก็แบบนี้แหละ ทำอะไรก็ต้องเกิน (ความจริง)นิด เกินหน่อย ถึงจะโน้มน้าวผู้บริโภคให้มาสนใจสินค้าหรือบริการของตนได้”
เพราะผู้ประกอบการเจ้าของสินค้าต่างก็ใช้แนวทางการสื่อสารแบบ Monologue กันทั้งบ้านทั้งเมือง ที่ผู้บริโภคดักทางได้แล้ว
การสื่อสารแบบ Monologue เป็นการยัดเยียดสิ่งที่ผู้บริโภคไม่อยากฟัง ไม่อยากได้ ท้ายสุดผู้ประกอบการจะเสียเงินเปล่า โดยเฉพาะค่าสื่อโฆษณาที่มีราคาแพงกว่าค่าผลิตหลายสิบเท่าตัว
ที่ร้ายไปกว่าคือเจ้าของสินค้าหรือบริการไม่เคยที่จะพยายามเข้าใจว่าผู้บริโภคของตนจริงๆแล้วต้องการอะไร
เกิดอะไรขึ้นในโลกวันนี้
ปัจจุบันการเดินทางไปท่องเที่ยวในต่างประเทศ โดยเครื่องบินไม่ใช่เป็นเรื่องใหญ่อีกต่อไป
ผู้บริโภคสามารถจองตั๋วเครื่องบินผ่านระบบ online ได้อย่างสะดวกสบายในราคาที่สมเหตุสมผล ไม่ต้องเสียเวลาคุยกับพนักงานที่มีกิริยาวาจาไม่สุภาพ เอาแต่ใจตัวเอง อารมณ์หงุดหงิด ฉุนเฉียวอยู่ตลอดเวลา
แค่เลือกวันเวลาไปและกลับที่ต้องการ และที่สำคัญคือเลือกที่นั่งที่ตัวเองต้องการได้จากจอคอมพิวเตอร์ได้เช่นเดียวกัน อยากนั่งริมหน้าต่างหรือริมทางเดิน ไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกต่อไป ขอให้มีที่ว่างก็แล้วกัน เลือกให้พอใจ แบบนี้เรียกว่า Dialogue ในการทำธุรกิจ เพราะผู้บริโภคเองก็สะใจที่อยากจะทำอะไรด้วยตัวเอง จากนิ้วที่คลิ๊กผ่าน mouse โดยไม่ต้องพึ่งพาบุคคลที่ 2 หรือบุคคลที่ 3
ในกรณีนี้เอง จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีเป็นตัวแปรที่สำคัญมากตัวหนึ่งที่สามารถทำให้ Dialogue เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธภาพ
Nike และ Adidas เป็นตัวอย่างที่ดีในรูปแบบของ Brand Dialogue ที่ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นมาในโลกใบนี้ และในยุคนี้
ผู้บริโภคไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปร้านขายสินค้าของแบรนด์ดังทั้ง 2 อีกต่อไป เพียงมีคอมพิวเตอร์ตั้งอยู่ที่ทำงานหรือที่บ้าน ก็สามารถเป็นเจ้าของสินค้าประเภทใดประเภทหนึ่งจากทั้ง 2 แบรนด์ดังได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องเดินออกไปหาเขาแม้แต่ก้าวเดียว
Brand Dialogue ของ Nike และ Adidas คือการที่ผู้บริโภคสามารถสั่งซื้อรองเท้ากีฬาได้ด้วยการเลือกขนาด เลือกสีของตัวรองเท้า เลือกสีของตะเข็บ เลือกสีของเชือกผูกรองเท้า และอื่นๆอีกมากมาย จากแบบที่ได้เตรียมไว้ให้ อย่างเช่นลวดลายธงชาติของประเทศดังๆในด้านกีฬาฟุตบอล
ถ้าผสมผสานรูปแบบแล้วไม่ถูกใจ ก็เริ่มต้นกันใหม่ สนุกให้เต็มที่กับการดีไซน์รองเท้ากีฬาให้ถูกใจที่สุด แต่รับรองได้ว่ารองเท้ากีฬาคู่นี้ จะไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือนอย่างแน่นอน
Brand Dialogue ช่วยนำพาผู้บริโภคไปสู่ Customization หรือ Personalization ในอีกแง่มุมหนึ่งด้วย
และ Customization หรือ Personalization นี่เองที่ทำให้ผู้บริโภครู้สึกถึงความแตกต่าง เฉพาะเจาะจง เป็นคนพิเศษ มีความพึงพอใจสูงสุดในท้ายที่สุด
และแน่นอนเทคโนโลยีเป็นตัวช่วยที่สำคัญต่อการขับเคลื่อน Brand Dialogue ให้เป็นจริงขึ้นมาได้
เมื่อกลางเดือนมีนาคมที่เพิ่งผ่านไป มีข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ธุรกิจเกือบทุกฉบับว่า “ธุรกิจกล้อง Polaroid กำลังจะหายจากโลกนี้ไป”
ไม่น่าแปลกใจเพราะผู้บริโภคคงไม่มีความอดทนอีกต่อไปแล้วที่จะเสียเงินซื้อกล้องประเภทนี้ในราคาที่สูง ขนาดเทอะทะ มีรูปลักษณ์ที่ขาดเสน่ห์มาครอบครอง ที่ลำบากใจไปกว่าคือราคาฟิล์ม Polaroid แพงมากต่อการใช้งานแต่ละครั้ง และสินค้าตัวนี้ดูจะขาด Relevance (ความเหมาะสม) ต่อผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน
ผู้บริโภคกลับให้ความสนใจและคลั่งไคล้ต่อกล้องที่เป็นระบบ Digital สามารถถ่ายรูปได้เป็นพันเป็นหมื่นรูปต่อ 1 Memory card (ขึ้นอยู่กับ Size ของ Memory card ที่ใช้) สามารถลบรูปที่ถูกถ่ายไปได้ทันทีที่รูปของตัวเองออกมาดูไม่สวย กับสนนราคาของกล้องที่ปัจจุบันผู้บริโภคสามารถซื้อได้ในราคาตั้งแต่ไม่กี่พันบาทจนถึงรุ่นมืออาชีพราคาหลายหมื่นบาท
ถ้าลองพิจารณาถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ Brand Dialogue ของสินค้าประเภทกล้องถ่ายรูป จะเห็นถึงวิวัฒนาการของสินค้าประเภทนี้ที่เริ่มต้นจาก Monologue แบบกล้อง Polaroid หรือกล้องที่ใช้ฟิล์มถ่ายรูปทั่วไปที่ผู้บริโภคไม่สามารถเข้าไป “จุ้นจ้าน” กับผลที่ตนเองได้รับ รูปออกมาอย่างไร ก็ได้ไปอย่างนั้น กระบวนการล้าง อัด ขยายรูปก็ตกอยู่ที่ “บุคคลที่ 3” หรือเจ้าของร้านล้าง อัด ขยายรูปแบบดั้งเดิมนั้นเอง ไปจนถึง “การมีส่วนร่วมของผู้บริโภค” ต่อสิ่งของนั้นๆ
เดี๋ยวนี้ ผู้บริโภคสามารถตกแต่งสีของรูปได้ด้วยตัวเขาเองจากรูปที่ถูกถ่ายด้วยไฟล์ที่เป็นระบบ Digital จากสีแดงเป็นสีเขียว จากสีดำเป็นสีขาว และอีกหลายร้อยเฉดสีที่ต้องการ
ในบางครั้งยังสามารถตัดรูปเจ้าหนุ่มที่ตั้งใจมายืนเคียงข้างแฟนของเขาออกไปด้วยเทคนิคของ Software ที่มีขายอยู่เกลื่อนกลาดในตลาด เช่น Photoshop
จากนั้นรูปที่พึงปรารถนาก็ถูกส่งต่อไปเป็นทอดๆ ไปยังแฟน ไปยังกลุ่มเพื่อนฝูง ไปลง Hi5, My Space ที่เป็น Community ของกลุ่มเป้าหมายที่ลุ่มหลงกับโลกแห่งการ “แสดงออกซึ่งตัวตนของตัวเองต่อเพื่อนมนุษย์โลกด้วยกัน”
จะเห็นได้ว่ารูป 1 รูปได้ถูกส่งจากกรุงเทพไปเชียงใหม่ ไปฮ่องกง ไปญี่ปุ่น ไปอเมริกา ไปยุโรป ที่มีคนเป็นแสนๆล้านๆจะได้เห็น
แถมยังมีการ “แซว” กันในกระทู้ หยิกแกมหยอกแกล้งกันเป็นหมู่คณะ และเป็นห่วงโซ่ในที่สุด
สิ่งที่เกิดขึ้นบนตัวอย่างเล็กๆของการถ่ายรูป ได้กลายพันธุ์จาก Monologue มาเป็น Dialogue เพราะผู้บริโภคชอบที่จะอยากรู้อยากเห็น แสดงความสามารถของตนในการตัด ต่อ แต่ง และเติม ไปจนถึงการแสดงออกทางความคิดในกระทู้บนโลกอินเทอร์เน็ต และยังหวังดีต่อเพื่อนร่วมโลกในการ “แพร่พันธุ์” เป็นทอดๆสู่สังคมกว้างเพื่อให้ผู้อื่นได้เห็น ได้ชมสิ่งดีๆเหล่านั้น
Fax กับ Email และ Pager กับโทรศัพท์มือถือมีแนวคิดที่เป็น Monologue กับ Dialogue ที่คล้ายกับกล้อง Polaroid กับกล้อง Digital
ไม่แปลกที่ Pager ไม่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคและสุดท้ายก็ต้องล้มหายตายจากโลกนี้ไป
ได้แต่รับคำสั่งแต่โต้ตอบกับผู้ส่งข่าวสารไม่ได้ น่าหงุดหงิดที่สุด
ในขณะที่โทรศัพท์มือถือทำหน้าที่ได้ทุกอย่าง ส่ง SMS ก็ได้ โทรไปพูดคุยกันได้อย่างสบายใจ ไม่มีอะไรตกหล่น
ที่สนุกไปกว่าคือเจ้าของสินค้าบางรายได้ใช้แนวคิด Brand Dialogue ในการทำตลาดที่มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดในอุตสาหกรรม Personal Care Product
Brand Dialogue ของ Pond Age Miracle ไม่เพียงแค่สร้างแบรนด์โดยผ่านกิจกรรมการตลาดแบบบูรณาการ แต่ยังให้ผู้บริโภคเข้ามามีส่วนร่วมในการทดลองสินค้า
“ถ้าไม่พึงพอใจในคุณภาพ เรายินดีคืนเงินคุณทันที”
ยุติธรรม ไม่เอาเปรียบ การตลาดแบบนี้เป็น Dialogue มากกว่า Monologue
ไม่เพียงแค่ให้ผู้บริโภคได้ทดลองใช้สินค้าของตน แต่ก็ยอมรับกับผลที่จะตามมาในกรณีที่ผู้บริโภคไม่พึงพอใจในประสิทธิภาพ
Brand Dialogue มีการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งจากการคุยกันสองทางเป็นหลายๆทาง มาจนถึงการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคต่อแบรนด์ บนวงจรของกิจกรรมการตลาดต่างๆที่รายล้อมผู้บริโภคอยู่ทุกนาที
อย่างที่ทราบกัน ผู้บริโภคเกิดมาเพื่อต้องการเสาะแสวงหาและเป็นตัวของตัวเอง
Categories: Articles Anything |
1 Comment
April 19th, 2009
ไขกุญแจสร้างโอกาสตามกรอบ “คิดให้ใหญ่ แต่พอดี”
- กูรูชี้ช่องทางเอสเอ็มอีมองให้เห็นข้อได้เปรียบที่มีอยู่
- แนะสำรวจความพร้อมของธาตุทั้ง 4 “D-R-E-K”
- สร้างโอกาสด้วย 10 P ไม่ใช่แค่คำตอบเพื่อความอยู่รอด แต่จะก้าวไปถึงความมั่นคง
- Passion & Focus คาถาสู่ความสำเร็จ บนกรอบหลักคิด “คิดใหญ่ แต่พอดี”
แม้ว่าสภานการณ์ในภาพรวมในปีนี้จะเรียกได้ว่าเป็นปีแห่งความโศกเศร้า แต่มองในอีกมุมหนึ่งสามารถเรียกได้ว่าเป็นปีแห่งโอกาส โดยเฉพาะสำหรับผูประกอบการเอสเอ็มอีซึ่งมีข้อได้เปรียบในเรื่องของความคล่องตัวที่สูงกว่าบริษัทใหญ่ๆ ซึ่งในมุมมองของ สรณ์ จงศรีจันทร์ ประทานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ และกรรมการผู้อำนวยการการสร้างแรงบันดาลใจ กลุ่ม บริษัท ยังก์ แอนด์ รูบิแคม แบรนด์ มองว่า ข้อดีของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอยู่ที่การมีความคลองตัวในทุกๆ มิติ. ไม่ว่าจะเป้นขนาดขององค์กร จำนวนพนักงานหรือบุคลากร คู่ค้า และตลาดเป้าหมาย
เพราะฉะนั้น เมื่อกลับมาตั้งต้นมองความเป็นเอสเอ็มอีจะเห็นได้ว่าความคล่องตัวเป็นสิ่งสำคัญมากในธุรกิจ เพราะมีการบริหารจักการที่ไม่ใหญ่จนเกินไป ทำได้การดูแลธุรกิจในกรอบเล็กๆ ทีทำอยู่เป้นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่าง ผู้ประกอบการดีลเลอร์รถมอเตอร์ไซค์
ซึ่งอยู่13ปี สาขาในจังหวัดอุดรธานี เพราะฉะนั้น สมรภูมิรบจึงอยู่ในจังหวัดอุดรธานี นั้นหมายความว่าในจังหวัดเดียวที่ผู้ประกอบการทำตลาดอยู่เป็นพื้นที่ๆสามารถเห็นความเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วและครอบคลุมพื้นที่เล็กๆ เท่านั้น ซึ่งหมายถึงความได้เปรียบ เมื่อเปรียบเทียบกับการตลาดที่ใหญ่ในระดับประเทศ หรือในระดับโลก ซึ่งผู้ประกอบการฯ จะต้องติดตามความเคลื่อนไหวในตลาดที่กว้างใหญ่
“ในภาษาของผมเรียกว่า กินทีละคำ เอสเอ็มอี สามารถทำธุรกิจได้อย่างพอดีตัว ลองนึกภาพถ้าเราต้องประคองไข่ไว้ถึง 76 ฟองเพื่อไม่ให้แตก หมายถึงการต้องดูแลธุรกิจที่มีมากถึง 76 จังหวัด ย่อมจะทำได้ลำบาก แต่ถ้าเรามีไข่ไว้บนมือได้สบาย ทำให้ดูแลได้ไม่ยาก” สรณ์อธิบายเพิ่มอีกว่า การที่มองว่าในช่วงนี้เป้นโอกาสของเอสเอ็มอี เพราะเป็นโอกาสของเอสเอ็มอี เพราะเป็นโอกาสให้ถอยกลับมาตั้งต้นใหม่เพื่อให้เข้าใจถึงหลักการต่างๆ ที่ต้องแปลงให้เป็นการปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม
เรื่องแรก Differentiation การทำให้ตัวเราเองแตกต่างได้หรือเปล่า เพราะการจะอยู่ในธุรกิจได้นั้นต้องมีความแตกต่าง เปรียบเสมือนเป็นหัวรถจักรที่จะดึงให้ตู้รถขบวนท้ายๆ ตามมาเพราะการที่เศรษฐกิจนิ่งๆ ลงมาหน่อย จะทำให้สมองของเราได้เปิดกว้างที่จะรับในสิ่งใหม่ๆ และได้คิดว่า สิ่งที่เป็นอยู่ยังไม่ดีพอ ทำให้เราต้องผลักดันตนเองขึ้นไป เป้นโอกาสให้นิ่งเพื่อหาความแตกต่าง การทบทวนเรื่องบุคลากร และสร้างศักยภาพขององค์กร ยกตัวอย่าง ผู้ประกอบการฯ ที่ลดจำนวนพนักงานลง แต่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา “และบอกได้เลยว่า ในช่วงนี้ยังเป็นโอกาสของการใช้ต้นทุนที่ต่ำที่สุดในการจับปลามากที่สุด เพราะวัสถุดิบต่างๆราคาไม่แพงมาก เพราะถนนกำลังว่าง เราควรจะขึ้นไปวิ่งเพราะถ้ารถติด เราจะไปถึงที่หมายได้ช้าลง”
เรื่องที่สองคือ Relevance
การที่ผุ้ประกอบการต้องมีสินค้าที่จำดป็นต่อการดำเนินชีวิต ไม่ว่าผู้ประกอบการจะทำอะไรออกมาในวันนี้ จะต้องทบทวนว่าลูกค้าเป้าหมายอยากซื้ออยากใช้หรือเปล่า ยกตัวอย่าง เพจเจอร์ซึ่งไม่ใช่สิ่งจำเป็นของผูริโภคอีกแล้ว เพราะมีโทรทัพมีถือมาแทนที่ หรือธุรกิจไปรษณีย์ต้องปรับมาส่งสินค้าแทนการส่งจดหมายที่น้อยลงอย่างมาก สิ่งที่ไม่จำเป็นนั้นมาควบคู่กับการเปลี่ยนแปลงของผูบริโภคทำให้ผู้ประกอบการต้องคำนึงถึงและนำมิตินี้เข้ามาด้วย
เรื่องที่สามคือ Esteem ความชื่นชอบต่อตัวสินค้าหรือบริการ หมายความว่าผู้บริโภคต้องรักเรา ซึ่งการรักมาจากที่สินค้าต้องมีความแตกต่าง ไม่มีใครเหมือน ให้ประโยชน์ใช้สอยได้เห็นผล เรื่องสุดท้ายคือ Knowledge การทำให้คนรู้จักเรา เพราะไม่ว่าจะดีแค่ไหนไม่มีคนรู้จักก็ไม่มีประโยชน์ “การทำธุรกิจของเอสเอ็มอีวันนี้ เพื่อให้อยู่รอดได้และแข้งแกรงแล้ว จะต้องนำธาตุทั้ง 4 คือ D-R-E-K มาผสมผสานในการทำธุรกิจ”
10 P คาถาสู่ความสำเร็จ
นอกจากนี้ ยังต้องประกอบด้วย 10 P คือ
1.Passion คือความลุ่มหลง ผู้ประกอบการจะท้อถอยไม่ได้ยิ่งสภาวการณ์อย่างนี้ ต้องถามตนเองว่ารักในสิ่งที่กำลังทำอยู่หรือเปล่า เช่น หลายๆ รายที่ต้องรับช่วงกิจการต่อจากครอบครัว ทั้งที่ต้นเองไม่ได้อยากทำธุรกิจนั้นเลย
2. Product คือการกลับมาทบทวนตัวเองใน 4 ธาตุที่กล่าวไปแล้ว ด้วยการที่ต้องมีสินค้าที่แตกต่าง จำเป็น คนรักและรู้จัก
3. Positioning เมื่อสินค้าที่ชัดเจนแล้ว ต้องดูว่าได้วางตำแหน่งที่ชัดเจนหรือเปล่า หรือการมีจุดยืนที่แตกต่าง ซึ่งแตกต่างจากจุดขาย แต่เป็นเรื่องที่เชื่อมต่อกัน เช่น มีจุดยืนของการเป็นบูติกโฮเต็ลเล็กๆ แต่มีจุดขายที่เป็นเมโทรโฮเต็ลซึ่งอยู่ในเมืองมีห้องพักอยู่สบาย หรือ “โออิชิ” มีจุดยืนที่แตกต่างด้วยการเป้นชาเขียวแท้ต้นตำรับจากญี่ปุ่น แต่มีจุดขายที่การเป็นสินค้าเพื่อสุภาพที่ดี ซึ่งจุดขายสามารถเปรียบเหมือนดีเอ็นเอหรือรหัสพันธุกรรม
4. Personality การเลือกบุคลิกภาพที่ต้องการให้กับสินค้า เปรียบเสมือนเสน่ห์
5. Price การวางราคา ซึ่งมีข้อคำนึงว่า ไม่ควรวางราคาต่ำ เพราะลูกค้ามักจะมองว่า “ของถูกคือของไม่ดี” เพราะฉะนั้นต้องวางราคาสินค้าให้สูงกว่าตำแหน่งที่สินค้าอยู่ แต่เป็นไปอย่างเหมาะสม โดยสอดบัตรไปกับบุคลิกภาพ เพื่อสร่งความคาดหวังให้กับลูกค้า เอื้อมขึ้นไปและอยากได้
6. Place ในช่วงเวลานี้ ผู้ประกอบการต้องมั้นใจว่าช่องทางที่มีอยู่นั้นถูกต้อง เช่น พฤติกรรมผู้บริโภคที่หันไปจับจ่ายใน โมเดิร์นเทรด ทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับตาม เช่น ถ้าขายสินค้าอุปโภคบริโภค จำเป็นต้องหาช่องทางเข้าไปจำหน่ายในโมเดิร์นเทรด หรือถ้าต้องการขายอยู่ในท้องถิ่น ก็จำเป็นต้องสร้างความชัดเจนให้ตนเอง เพราะผู้ประกอบการจำเป็นต้าพาตนเองไปให้ถึงผู้บริโภค โดยต้องคิดเสมอว่า “ปลาอยู่ไหน จับที่นั้น” เช่น ถ้าขายถุงยางอนามัย ช่องทางที่จะเข้าไปคืออาบอบนวด ต้องเข้าไปทำการตลาดในนั้น เป็นต้น
7. People ในสภาวการณ์ขณะนี้ ผู้ประกอบการจึงต้องคำนึงถึงประสิทธิภาพ เหมือนกับว่า “เรือลำนี้ ต้องไม่หนักเกินไป” ไม่อย่างนั้นจะจมได้ เพราะผู้ประกอบการไม่น้อยมักจะเลือกรับคนจำนวนมากเข้ามา แต่สุดท้ายไม่สามารถบริการได้ทั่วถึง
8. Pink cow หมายถึงการสร้างความแตกต่าง เพราะตามปกติวัวสีขาว แต่เมื่อเราเป้นวัวดีชมพูย่อมทำให้เกิดความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดเจน
9. Promotion การกระตุ้นให้เกิดความต้องการ หรือการสร้าง awarenessให้เกิดขึ้นให้ได้ และสุดท้าย
10.prosperity เมื่อสามารถทำให้ทุก P ใด้ผลแล้ว ในที่สุดจะก้าวไปสู่ความมั่งมีศรีสุข
Passion เป็นการพูดถึงแรงใจที่ผู้ประกอบการทุกคนต้องมีส่วน P อื่นๆ ที่ตามมาเป็นเรื่องแรงกายหรือเรื่องที่ต้องทำให้ได้”
สรณ์ เน้นถึงการไปสู่ความสำเร็จ อย่างไรก้ตาม การไปสู่ความสำเร็จได้นั้น สิ่งที่ผู้ประกอบการนั้นต้องทำคือ “โฟกัส”สำหรับทุกเรื่องที่ต้องทำ เพราะผู้ประกอบการฯ มักจะทำธุรกิจหลายๆอย่างในเวลาเดียวกัน ทั้งๆที่ไม่มีความสามารถเพียงพอในการบริหารจัดการให้ได้ดีในทุกธุรกิจ และเมื่อสถานการณ์เศรษฐกิจวิกฤต ทำให้ได้รับผลกระทบมาก ดดยเฉพาะมักจะให้เกิดกระแสหรือโลภ โดยไม่โฟกัส เปรียบเหมือนการจับปลาหลายมือ เพราะฉะนั้นจะต้องให้ความสำคัญแต่ละเรื่องสำเร็จก่อน แล้วจึงไปทำในเรื่องอื่นๆต่อไป
สรณ์ทิ้งท้ายว่า แต่การจะก้าวไปวันนี้ ต้องไม่ลืมหลักคิด
“คิดใหญ่ แต่พอดี” ซึ่งหมายความว่าผู้ประกอบการฯ ต้องมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่เอาไว้เพื่อจะก้าวไปถึง แต่ในการก้าวไปจะต้องเป็นไปตามความสามารถและศักยภาพของตนเอง
Categories: Articles Anything |
Tags: ไขกุญแจสร้างโอกาส | 2 Comments
April 13th, 2009
สุขสันต์วันสงกรานต์นะคะทุกคน
ปีใหม่นี้ขอให้ทุกๆคนมีความสุขคะ สุขภาพร่างกายแข็งแรง คิดสิ่งใดขอให้สมปรารถนา
โชคดีมีชัยตลอดไป ประสบความสำเร็จในธุรกิจด้วยนะคะ และที่สำคัญขอให้ประเทศเรา
สงบสุขซะทีเถอะคะ ไม่ไหวแล้ว สถานการณ์แย่ลงทุกวันๆ น่าอับอายคนอื่นมากๆเลยคะ
เสียดายคนไทยเหมือนกันแท้ๆยังไม่รักกันเลย ยังงี้ต้องฟังเพลง รักกันไว้เถิด…………….
ใครไปเที่ยวก็ระมัดระวังด้วยนะคะ เรื่องวุ่นวายอะไรจะเกิดขึ้นอีกไม่รู้คะ ป้องกันไว้ก่อน
แล้วก็อย่าลืมทำบุญต้อนรับปีใหม่นี้กันด้วยนะคะ ช่วยกันภาวนาให้ชาติด้วยคะ อิอิ

^_____^
Categories: Gossip Anything |
Tags: สงกรานต์ | 2 Comments
April 12th, 2009
สวัสดีวันสงกรานต์คะ
ถ้าใครไม่ได้ไปเที่ยวไหนก็อย่าลืมแวะเวียนมาอ่านบล็อคได้นะคะ
นี่ก็บ่ายแล้วใครหิวยกมือขึ้น??? เรามีอาหารว่างน่ารักๆมาฝากคะ
หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อเสียงของเด็กน้อยน่ารักคนนึงนามว่า
“ซาลาเปามีตา” หรือ “น้องเทส” ลูกสาวคนเล็กของพี่เซ้ง Centure
วันนี้เรามีภาพน่ารักๆมาให้ดูคะ ว่าซาลาเอาจริงรึป่าว ไปชมกันเลย

เป็นยังไงกับบ้างคะ คงอยากจะหยิกแก้มป่องๆของน้องเทสกันแน่ๆเลยใช่มั้ย

หลับยังน่ารักเลยนะเนี่ย อุ๊ย…คอหายไปไหนเนี่ย

โฉมหน้าคุณพ่อ คุณแม่ คุณน้า และคุณลุงของน้องเทสจ้าาา

ฝาก 4 แอคชั่นสุดท้ายคะ ใครสนใจติดต่อไปเป็นนางแบบได้นะคะเนี่ย
เชื่อรึยังคะว่า… ซาลาเปามีตา (จริงๆ) อิอิ น่ารักที่ซู้ดดดดดด ^___^
Categories: Gossip Anything |
Tags: ซาลาเปามีตา | 5 Comments
April 11th, 2009
BrandGym ภาค 2 กรุงเทพฯ
โดย อ.สรณ์ จงศรีจันทร์
วันที่ 22-23 และ 29-30 พฤษภาคม 2552
การทำธุรกิจในสภาวะปัจจุบันต้องมีความชัดเจน ความแตกต่าง และความโดดเด่น เพราะผู้บริโภคในปัจจุบันกำลังเปลี่ยนแปลงไป และในตลาดมีการแข่งขันกันสูงขึ้น เนื่องจากคู่แข่งได้พัฒนาตนเองให้แข็งแกร่งมากขึ้นทุกวันๆ ประกอบกับเศรษฐกิจโลก โดยรวมกำลังทดถอยอยู่
ดังนั้นธุรกิจ SMEs ต้องมีแนวคิดที่เป็นระบบและสร้างจุดยืนของตัวเองให้ชัดเจน เพื่อให้ธุรกิจของตัวเองอยู่รอดและประสบความสำเร็จได้
จะออกไปจับ “ปลา” ได้อย่างไร ถ้าขาดเครื่องมือจับปลาที่ดีและมีประสิทธิภาพ
เต็มที่กับเนื้อหาที่เข้มข้นขึ้น…ต่อเนื่องจาก BrandGym ภาค 1
โดย อ.สรณ์์ จงศรีจันทร์ ผู้คร่ำหวอดในแวดวงธุรกิจ นักกลยุทธ์และวางแผนการตลาด นักสร้างแบรนด์ในระดับแนวหน้าของประเทศ รวมถึงนักสร้างแรงบันดาลใจ ให้กับนักธุรกิจ SMEs มากกว่า 10,000 คน
หัวข้อการสัมมนาและเวิร์คช็อป มีดังต่อไปนี้
• 15 Ps
ปรมาจารย์ทางการตลาด Professor Phillip Kotler ได้สร้างแนวคิด 4 Ps (Product, Price, Place, Promotion) แต่อ.สรณ์ จงศรีจันทร์ได้พัฒนาไปไกลถึง 15 Ps ในการสร้างธุรกิจ SMEs ให้แข็งแกร่ง แต่ละ P มีความสัมพันธ์กันและเกื้อกูลกันอย่างน่ามหัศจรรย์
• 12 Cs
เช่นเดียวกันในตำราหนังสือการตลาดทั่วไป ได้กล่าวถึง 4 Cs (Consumer, Cost, Convenience, Communications) ที่เป็นองค์ประกอบในการทำธุรกิจให้เกิดความชัดเจน แต่ใน BrandGym ภาค 2 ผู้เข้าร่วมสัมมนาจะได้แนวคิด 12 Cs ที่ให้มุมมองแหลมคม มากกว่าเดิมอีกด้วย
• ผู้บริโภคกำลังเปลี่ยนไป
ผู้บริโภคเป็นมากกว่าพระเจ้า และเป็นเผ่าพันธุ์ที่เอาใจยากที่สุดในโลก ผู้บริโภคในวันนี้ ไม่เหมือนกับวันวาน ดังนั้นเจ้าของธุรกิจ SMEs จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทำความเข้าใจ กับพวกเขาใหม่ทั้งหมด กลยุทธ์ที่เคยใช้แบบเดิมๆ คงจะใช้ไม่ได้ผลในปัจจุบัน ลองมาศึกษาพฤติกรรม (Insight) ที่ซ่อนอยู่ในตัวผู้บริโภค แล้วท่านจะเข้าใจว่า จะต้องป้อนอะไรให้กับผู้บริโภคในรูปแบบของสินค้าหรือบริการแปลกๆใหม่ๆ
• การใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 6 ในการสร้างแบรนด์
มารู้จักกับกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ด้วยประสาททั้ง 6
จักษุสัมผัส , โสตสัมผัส , นาสิกสัมผัส , ชีวหาสัมผัส , กายสัมผัส , อารมณ์สัมผัส
• กลยุทธ์ในการตั้งชื่อบริษัท สินค้า หรือ บริการ
ชื่อนั้นสำคัญไฉน?? ท่านเคยคิดไหมว่าการตั้งชื่อต้องมีกลยุทธ์?? 13 แนวทาง การตั้งชื่อบริษัท สินค้า หรือ บริการ ที่มีที่มาและที่ไปเพื่อให้เกิดการจดจำได้อย่างสูงสุด
• เบญจธาตุ “โหงวเฮ้ง” ที่เป็นองค์ประกอบในการออกแบบอัตตลักษณ์
ธาตุทั้ง 5 ของโหงวเฮ้ง ล้วนมีโครงสร้าง สันทาน สี ผิวพื้น จริต สัมผัส ที่แตกต่างกัน ดังนั้นเราจำเป็นที่ต้องเข้าใจรากฐานของทุกธาตุ เพื่อนำมาประยุกต์ให้เกิดประโยชน์ และเกิดพลังในการนำธุรกิจไปสู่ความสำเร็จ
• จริตของสี
จริงไหมที่สีสามารถควบคุมอารมณ์ อาการในสภาวะต่างๆ และ สียังสามารถบำบัด และปรับสมดุลให้กับชีวิตและจิตใจได้
• กลยุทธ์การวางตำแหน่งและจุดยืนที่แตกต่างให้กับธุรกิจ สินค้า บริการ (Positioning Statement)
ถ้าสินค้าหรืิอบริการของผู้ประกอบการ SMEs สามารถอยู่ยงคงกระพันได้ตลอดชีวิต ก็คงจะดี แต่ในความเป็นจริงสินค้าหรือบริการต่างๆ จะมีอายุขัยที่สั้นมาก จนกระทั่ง ผู้บริโภคไม่ให้ความสนใจอีกต่อไป ซ้ำร้ายคู่แข่งยังเสนอสินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพ เหมือนกัน ในราคาที่ต่ำกว่าและมีช่องทางการจัดจำหน่ายที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีกว่า
• กลยุทธ์การกลายพันธ์ุสินค้าหรือบริการ
ผลกำไรไม่ได้มาจากการขายสินค้าหรือบริการเพียงแค่ประเภทเดียว โอกาสที่ผู้ประกอบการ SMEs สามารถตักตวงผลกำไร สามารถเกิดได้จากการพัฒนา ต่อยอด และกลายพันธ์สินค้าหรือบริการให้ออกไปในรูปแบบอื่น โดยที่ยังคงระดับของ ทรัพยากรเดิมในธุรกิจไว้ได้
• 7 ด่านอรหันต์ กว่าจะได้ผู้บริโภคมาเป็นสาวก
7 ขั้นบรรไดในการตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการ
จากขั้นที่ 1 “ใจไหวหวั่นอยากได้อะไรซักอย่าง” จนไปสู่
ขั้นที่ 7 “ประสบการณ์ที่แท้จริง หลังจากที่ได้ใช้สินค้าหรือบริการนั้นๆ” บ่อยครั้งที่ผู้ประกอบการลืมไปว่า ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ผู้บริโภคถูกคู่แข่งเกี่ยวออกไป
• 13 จริตของแบรนด์
แบรนด์มีจริตเหมือนกับคน แต่เขามีจริตมากกว่าคนซึ่งเป็นเรื่องลึกลับที่ต้องค้นหา เป็นเรื่องจริงที่ว่าแบรนด์ทุกแบรนด์ในโลกสามารถถูกจับใส่ในกล่องทั้ง 13 จริตได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ การเข้าใจจริตของแบรนด์ช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs พัฒนาแบรนด์ของตนให้เดินไปข้างหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล ทำให้แบรนด์มีตัวตนและจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งกว่าคู่แข่ง
• 20 เคล็ดลับกลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ
20 เคล็ดลับเด็ดที่จะทำให้ธุรกิจของท่าน ได้กำไรมากขึ้นกว่าเดิม และประสบความสำเร็จ
พร้อมกับกรณีศึกษาในการสร้างธุรกิจและสร้างแบรนด์ที่น่าสนใจอีกมากมาย
พบกับ BrandGym ภาค 2 โดย อ.สรณ์ จงศรีจันทร์ ครั้งแรกที่กรุงเทพฯ
ได้ในวันที่ 22-23 และ 29-30 พฤษภาคม 2552 ตั้งแต่เวลา 09:00-16:00 น.
ณ โรงแรม ซัมเมอร์เซ็ต พาร์คสวนพลู (Somerset Park Suanplu)
ค่าใช้จ่ายตลอดหลักสูตร 16,000 บาท / คน **(รับจำนวนจำกัด)**
สำรองที่นั่งได้ที่ : ขจี จงศรีจันทร์ (จีจี้) 089-779-2227
ติดตามตารางสอนเพิ่มเติมได้ที่ : http://www.brandanything.biz
Categories: Seminar & Workshop Schedule |
Tags: BrandGym Chapter II | 2 Comments
April 11th, 2009
สวัสดีอีกครั้งคะ พี่ๆที่น่ารักทุกๆคน
ไม่ทราบว่ายังจำตอน “เอาบุญมาฝาก” เมื่อครั้งก่อนกันได้มั้ยคะ
แต่ถ้าใครจำไม่ได้ลองไปทบทวนดูได้ ที่นี่ นะคะ จะได้ตามทันและสนุกไปด้วยกัน
ครั้งนี้เป็นการต่อยอดความคิดที่ได้จากการที่ได้จากการทำบุญปล่อยสัตว์ทั้งหลายคะ
เรื่องของเรื่องคือว่า เคยคิดไหมคะว่าถ้าคนแก่อยากจะปล่อยปลา จะทำยังไงดี??
ในเมื่อแขน ขา เรี่ยวแรง ก็น้อย ไขข้อก็ไม่ดี ถ้าก้มๆเงยๆลุกๆนั่งๆ ก็อาจจะเป็นลมได้
พวกเราชาว Dharmaciation เลยได้ประดิษฐ์นวัตกรรมชนิดใหม่ในการปล่อยปลาคะ
เราให้ชื่อว่า “สะพานชีวิตใหม่” ละกัน เพราะเมื่อพวกน้องปลาทั้งหลายได้ไหลลงไป
ก็มีชีวิตใหม่ที่ดีขึ้น หรือว่าถ้าใครมีชื่อที่ดีกว่านี้ก็เสนอมาได้นะคะ จะได้ไปทำป้ายติดไว้
แค่ความคิดนิดเดียวทำให้อะไรๆหลายๆอย่างดีขึ้นนะคะ ต้องขอขอบคุณพี่ๆทุกคน
ที่ช่วยกันเนรมิตรจากสิ่งที่เป็นแค่ไอเดีย ให้เป็นความจริงได้อย่างง่ายดายเลย เก่งมาก
ใครอยากท้าพิสูจน์ก็ขอเชิญได้นะคะ ณ วัดบ้านจิก จังหวัดอุดรธานีคะ หรือถ้าใครอยาก
นำนวัตกรรมดีๆอย่างนี้ไปใช้ในเขตอภัยทานวัดอื่นๆอีก ก็ยินดีนะคะ ถือว่าได้บุญร่วมกัน

ดูได้จากภาพคะน้องปลาดุกน้อยๆไหลลงไปอย่างง่ายดาย แถมมีความสุขกันอีกด้วย จะปีนขึ้นมา
เพราะคิดว่าเป็นของเล่นมั้งเนี่ย?? ส่วนน้องเต่าตัวนั้น คิดว่าน่าเป็นเป็นเต่าน้อยที่เราปล่อยกันครั้งก่อน
แวะเวียนขึ้นมาทักทายคะ มารอตั้งแต่มาถึงวัดเลย แสดงว่ารู้ใจ …
ใกล้จะปีใหม่ไทยกันแล้วนะคะ อย่าลืมหาเวลาไปทำบุญกันด้วยนะคะ โชคดี มีชัย กันถ้วนหน้าคะ
จีจี้ ^___^
Categories: Gossip Anything |
Tags: อิ่มบุญ | 2 Comments
April 11th, 2009
กลับมาอีกครั้งกับศิลปะในการคิดให้แตกต่าง ณ อุดรธานี เมื่อวันที่ 3-4 เมษาจ้าาา
คราวนี้พวกเราย้ายโรงแรมแล้ว เปลี่ยนเป็นโรงแรมเจริญโอเต็ล เจริญสมชื่อเลยคะ
บริการดี ห้องดี อุปกรณ์ดี ฯลฯ ลองไปดูบรรยากาศรอบๆโรงแรมกันดีกว่าเนอะ ….

ห้องสัมมนาในครั้งนี้ชื่อว่า “กระทะลาว” เอ้ย..ไม่ใช่ๆ “ลาวแพน” มีป้ายบอกชัดเจนเลย
หน้าห้องมีเบรกตั้งรอไว้ตั้งแต่เช้าตรู่เลย กาแฟ โอวัลติล ขนมเค้ก และผลไม้ กินกันโล้ด
ทุกอย่างพร้อมหมด เราไปแอบดูวิทยากรของเรากันบ้างอ.สรณ์ จงศรีจันทร์ว่าพร้อมมั้ย
เอ้าาา… 1 2 3 แอ๊บแบ้วววว แสดงว่าพร้อมลุยสุดๆ แล้วเนี่ย มีของโด๊ปเต็มโต๊ะอีกด้วย

มาดูหน้าตาผู้ร่วมสัมมนาครั้งนี้ดีกว่าว่าเป็นใคร มาจากไหนกันบ้าง รับรองเด็ดทุกคน

คอร์สนี้ทุกคนสนุกสนานกันถ้วนหน้า มีกิจกรรมเด็ดๆให้คิดให้เล่นเต็มไปหมด ไม่รู้ว่า
ป่านนี้สมองจะมีรอยหยักเพิ่มจนหนักหัวแน่นอน 555+ ก็มันไม่มีเวลาให้หยุดคิดเลยนิ!
ยังจำได้มั้ยว่าเราทำอะไรกันบ้าง มีอุปกรณ์มาให้ดู ให้นึกถึงเล่นๆ แต่ต้องอุ๊บส์เอาไว้
เพราะว่าเพื่อนๆบางจังหวัดยังไม่ได้เรียนกัน เอาเป็นว่าไม่เฉยแล้วกันนะคะ คิดกันเอง

พอถึงเวลาพรีเซนต์แต่ละคนก็ไม่ยอมน้อยหน้ากันเลยทีเดียว ส่งตัวท็อปออกมาประชันกัน
จนต้องขอซูฮกเลย เก่งกันทุกกลุ่ม กินกันไม่ลงเลย ไม่ว่าจะเป็นเด็กสุดหรือว่าอาวุโสสุดคะ

ได้เวลาเที่ยง กองทัพต้องเดินด้วยท้อง.. ไปตะลุยบุฟเฟ่อาหารกลางวันกันดีกว่า นำ้ลายไหล
ของกินเยอะมาก อร่อยสุดๆ โดยเฉพาะขนมครกสูตรเด็ด ที่ใครไม่ได้กินถือว่าเชยมากๆ อิอิ

หนังท้องตึง หนังตาก็หย่อย ต้องมาบริหารความคิดกันต่อ จะได้ไม่ง่วง ทุกคนตั้งใจเรียนกัน
แบบไม่ให้พลาดแม้แต่จุดเดียวเลย ไม่เชื่อลองดูสิ ความตั้งใจ 101% กันทุกคนเลย เยี่ยมมาก

ปิดท้ายงานนี้ด้วยเจ้าภาพ พี่อ๋อย ณ LNS AUTO ที่กล่าวขอบคุณอาจารย์และผู้ร่วมสัมมนา

แล้วพบกันใหม่ในเร็วๆวันนี้แน่นอนจ้าาาา ใครที่พลาดไปก็ไม่ต้องเสียใจ ร้องไห้นะจ๊ะเพราะว่า
ความสุข ความสนุกไม่ได้มีเพียงแค่วันเดียวคะ โอกาสหน้ายังรออยู่ แล้วพบกัน จุ๊บ..จุ๊บ..
Categories: Gossip Anything |
Tags: Art of Creative Thinking | 1 Comment