Global Warming vs Global Cooling

May 13th, 2009

ช่วงที่ผ่านมานี้…เคยสังเกตกันไหมว่า…ตอนนี้มันหน้าอะไร ทำไมอากาศบ้านเราถึงแปรปรวน

บางคนอาจจะบอกว่าโลกร้อน แล้วโลกมันร้อนเพราะอะไรล่ะ เคยคิดกันไหม

ถุงผ้า ถุงกระดาษ อาจจะช่วยลดภาวะโลกร้อนได้(บ้าง) แต่ก็ไม่ใช่ว่าอะไรจะดีขึ้น

เอาเป็นว่าเราไปทำความเข้าใจกับโลกร้อน และหาวิธีรับมือเบื้องต้นกันดีกว่า…

- บทความ โดย อ.สรณ์ จงศรีจันทร์

Global Warming vs Global Cooling


ถ้าจำกันได้ในที่ผ่านมากระแสของ Global Warming หรือภาวะโลกร้อน เป็นประเด็นที่ทุกๆคนในโลกต่างจับตามองและให้ความสนใจเป็นอย่างมาก


กระแสนี้ได้ถูกผลักดันโดยคุณอัลกอร์ อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาในสมัยที่ท่านดำรงตำแหน่งควบคู่กับประธานาธิบดีบิล คลินตัน จากพรรค Democrat (เมื่อในอดีต)


คุณอัลกอร์ได้ผลักดันสารคดีชุดหนึ่งที่ถูกถ่ายทำและเผยแพร่ไปทั่วโลกชื่อว่า Inconvenience Truth เป็นสารคดีที่ประสบความสำเร็จทั้งในด้านยอดขาย และเนื้อหาที่ได้ส่งไปยังผู้บริโภคทั่วโลกให้ตระหนักถึงภาวะโลกร้อนที่กำลังเข้ามาใกล้ถึงพวกเรา


ในสารคดีชุดนี้จะเห็นถึงผลเสียจากสารที่ทำให้เกิดเรือนกระจกและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม มนุษย์และสัตว์


ในสารคดีชุดนี้จะเห็นถึงภาวะโลกร้อนที่ทำให้สัตว์ในขั้วโลกเหนืออย่างหมีขาวขั้วโลกถึงกับไม่มีที่อยู่


ภูเขาที่เคยถูกปกคลุมโดยหิมะได้หายกลายมาเป็นภูเขาหัวโล้นน่าเกลียดธรรมดาๆลูกหนึ่ง


เราจะเห็นถึงอันตรายหรือหายนะที่โลกกำลังจะเผชิญ เพราะน้ำแข็งในขั้วโลกเหนือกำลังละลาย และแน่นอนจะส่งผลเสียกับโลกใบนี้ ส่งผลให้น้ำจะท่วมโลกในที่สุด


หลังจากกระแส Global Warming ของอดีตรองประธานาธิบดีอัลกอร์ ได้ถูกนำเสนอออกสู่สายตาชาวโลก เราจะเห็นว่าแบรนด์ใหญ่ๆระดับโลกและในระดับท้องถิ่นต่างลุกขึ้นมารณรงค์และสร้างกิจกรรมการตลาดเพื่อตอบสนองแนวคิดในการต่อต้านไม่ให้โลกร้อนจนเกินไป


เราจะเห็นหลายๆตัวอย่างในเชิงกิจกรรมการตลาดเช่นการลดใช้ถุงพลาสติก เพราะการใช้ถุงพลาสติกจะใช้เวลาย่อยสลายถึง 400 ปีในขณะที่ถุงผ้าสามารถจะนำกลับมาใช้แล้วใช้อีกได้จนกว่าผ้าชิ้นนั้นจะเปื่อยขาด


นี่คือเหตุผลหนึ่งที่เราจะเห็นกิจกรรมการตลาดจากหลายๆแบรนด์ถูกนำออกมาใช้ในทุกรูปแบบ หลายแบรนด์เริ่มแจกถุงผ้าเพื่อให้ผู้บริโภคนำไปใช้และนำกลับมาใช้อีกเพื่อลดจำนวนการใช้ถุงพลาสติกที่ย่อยสลายยาก


มีเหตุการณ์หนึ่งที่น่าสนใจในเชิงกิจกรรมการตลาดจากห้างสรรพสินค้าดังห้างหนึ่งในประเทศไทย ที่ได้รณรงค์ให้ผู้บริโภคนำถุงผ้าไปซื้อสินค้าภายในห้างสรรพสินค้าของตนเอง


ถ้าผู้บริโภคคนใดนำถุงผ้าไปใส่สินค้าที่ซื้อ ผู้บริโภครายนั้นก็จะได้รับส่วนลดหลายสิบเปอร์เซ็นต์จากราคาปกติ


อันนี้ถือว่าเป็นแนวความคิดสร้างสรรค์ในการจัดกิจกรรมการตลาด เพื่อส่งเสริมยอดขายของห้างสรรพสินค้าดังกล่าวไปในแนวทางที่ดี อยู่ในกระแสที่คนหมู่มากกำลังให้ความสนใจ


ทางห้างสรรพสินค้าเองก็สามารถที่จะลดมลภาวะในการที่จะต้องพิมพ์ถุงพลาสติกหรือถุงกระดาษออกมามากๆ เพื่อนำไปใส่สินค้าที่ผู้บริโภคซื้อ และเมื่อผู้บริโภครายนั้นได้นำถุงกระดาษหรือถุงพลาสติกกลับบ้านไปบ่อยครั้ง ผู้บริโภคก็จะนำไปใส่ขยะในบ้านตัวเองเพื่อนำไปทิ้ง และถุงพลาสติกเหล่านี้ก็จะเป็นมลภาวะที่ทำให้การย่อยสลายไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นภายในปีหรือ 2 ปีข้างหน้า


อย่างที่ทราบกันถุงพลาสติกจะย่อยสลายในระยะเวลาถึง 400 ปี เราจะเห็นกิจกรรมของหลายๆแบรนด์ที่มีการแจกถุงผ้า ถึงแม้ว่าถุงผ้านั้นจะไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับแบรนด์ที่ได้พยายามแจกถุงผ้าแต่อย่างน้อยเราจะเห็นถึงความตั้งใจที่แบรนด์หลายแบรนด์ได้พยายามรณรงค์ให้โลกไม่ร้อนจนเกินไปและเป็นการปลูกจิตสำนึกไปในตัว


เราเริ่มเห็นผู้บริโภคถือถุงผ้าใส่ของเดินไปมากันมากขึ้นเป็นภาพที่ดูดีทำให้คนที่ยังขาดจิตสำนึกในเรื่องนี้ต้องหันกลับมาทบทวนในสิ่งที่คนส่วนใหญ่หรือคนหมู่ใหญ่กำลังจะเดินไป เพื่อนำพาให้โลกใบเล็กๆใบนี้มีความสดใสมากขึ้นและพวกเราทุกคนจะได้อยู่บนโลกใบนี้กันอีกนานๆ เพื่อให้ลูก หลาน เหลน โหลนของเราได้มีโอกาสชื่นชมโลกที่สวยใบนี้ต่อไป


นอกเหนือจากกิจกรรมการตลาดที่เจ้าของสินค้าส่วนใหญ่ได้ทำกันไป เช่นการแจกถุงผ้า ยังมีกิจกรรมการรณรงค์อีกหลายรูปแบบต่อภาวะโลกร้อน เช่นชักชวนให้ประชาชนหันมาใช้รถไฟฟ้าบนดินหรือรถไฟฟ้าใต้ดิน ไม่ให้นำรถออกมาสู่ท้องถนนมากมายจนเกินไป และการที่ไม่นำรถออกมาสู่ท้องถนนมากจนเกินไปก็เป็นวิธีทางหนึ่งที่สามารถลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แต่ที่สำคัญกว่าคือราคาน้ำมันในปัจจุบันมีราคาสูงถึงลิตรละ 30 กว่าบาทเข้าไปแล้ว และเห็นได้ชัดว่าการที่ประชาชนทั่วไปจอดรถทิ้งไว้ในบ้านและใช้รถไฟฟ้าเดินทางจากที่บ้านไปสู่ที่ทำงานหรือจะไปไหนก็แล้วแต่ น่าจะเป็นวิธีทางหนึ่งที่ช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าได้ดีอีกด้วย

และเป็นเรื่องที่สำคัญกว่าการให้ความสำคัญกับประเด็นโลกร้อน


มีหลายๆหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมารณรงค์ให้ประชาชนช่วยกันปิดไฟที่บ้าน ปิดไฟที่ไม่ได้ใช้ ไม่จำเป็นและในขณะเดียวกันในแต่ละบริษัท ในแต่ละสำนักงาน ก็มีการรณรงค์ให้ช่วยกันปิดไฟในสำนักงาน ในช่วงเที่ยงก่อนที่พนักงานจะออกไปทานข้าว เพื่อเป็นการลดการใช้ไฟฟ้าและทำให้โลกเราเย็นขึ้น


มีเหตุการณ์หนึ่งที่น่าสนใจในคืนวันเสาร์ที่ 29 มีนาคมที่เพิ่งผ่านไป มีหน่วยงานภาครัฐบาลและภาคเอกชนได้ช่วยกันรณรงค์ให้ประชาชนทั่วประเทศช่วยกันปิดไฟตั้งแต่ช่วง 2 ทุ่มถึง 3 ทุ่ม เป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง และในช่วงเวลานี้เองที่เป็นช่วงเวลาที่ประชาชนทั้งประเทศใช้ไฟมากที่สุด กิจกรรมนี้ไม่ได้เพียงทำขึ้นในประเทศไทยแต่ได้ทำไปพร้อมๆกันกับอีก 23 เมืองใหญ่ทั่วโลก


ปรากฏการณ์ในคืนวันที่ 29 มีนาคม ในช่วง 2 ทุ่มถึง 3 ทุ่ม ประเทศไทยสามารถลดการใช้พลังงานไฟฟ้าไปได้ถึง 165 เมกกะวัตต์ หรือประมาณ 600,000 กว่าบาทตามที่เป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์หลายฉบับ


ในนครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลียสามารถลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 102 ตัน ซึ่งเป็นการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระดับที่สูงมากในช่วงระยะเวลาเพียง 1 ชั่วโมง ตั้งแต่ 2 ทุ่มถึง 3 ทุ่มในเวลาท้องถิ่นของประเทศออสเตรเลีย


ตามรายงานที่ได้ทราบมาหนึ่งตันของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่เราสามารถจะลดได้คือการประหยัดการตัดต้นไม้ไปได้ 1 ต้น ถ้าคิดเป็นจำนวนต้นแล้วเมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลียสามารถจะลดการตัดต้นไม้ใหญ่ได้ถึง 102 ต้นด้วยกัน และถ้ามองย้อนกลับมาดูถึงกระบวนการปลูก เราต้องใช้เวลาในการปลูกต้นไม้จากต้นกล้าไปถึงต้นใหญ่เป็นเวลาหลายสิบปี บางต้นต้องใช้เวลากว่า 100 ปีถึงจะเติบโตใหญ่ขึ้นมาเทียบเท่ากับตึก 5-6 ชั้น


เหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นมาในคืนวันที่ 29 มีนาคม มีเหตุผลอย่างเดียวคือเพื่อปลูกจิตสำนึกให้กับคนไทยและคนทั้งโลกให้ตระหนักถึงภาวะโลกร้อนที่ใกล้เข้ามาหาพวกเรามากขึ้นทุกวัน


ที่น่ารักไปกว่าคือ Google เองก็ได้ช่วยรณรงค์ภาวะโลกร้อนและ Google เองก็ขอเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมการช่วยลดภาวะโลกร้อน โดยที่หน้าจอของ Google หน้าแรกได้เปลี่ยนจากสีขาวสว่างมาเป็นสีดำทั้งหน้า ในวันนั้นหลายๆคนที่ไม่รู้ว่ามีกิจกรรมอะไรเกิดขึ้น ต่างพากันตกใจว่ามีคนสำคัญของโลกเป็นอะไรไปหรือเปล่า Google ถึงได้ไว้อาลัยให้กับคนสำคัญคนนั้น แต่ที่ไหนได้ Google ได้ใช้กลยุทธ์ในความคิดสร้างสรรค์นี้เปลี่ยนหน้าจอของตัวเองจากสีขาวมาเป็นสีดำ


Google เป็นแบรนด์ที่ทันกระแสอยู่เสมอและตามกระแสอยู่ตลอดเวลา และขอเป็นพลเมืองดีคนหนึ่งให้กับคนทั้งโลกด้วย


ในประเทศอังกฤษสายการบิน Virgin Atlantic ของท่าน Sir Richard Branson เองก็ได้มีการรณรงค์เรื่องภาวะโลกร้อน


โดยที่สายการบินของตัวเองได้ใช้เชื้อเพลิงชีวภาพเป็นส่วนผสมในน้ำมันที่ใช้เติมในเครื่องบินเป็นประมาณ 1 ใน 5 ของเชื้อเพลิงปกติที่ใช้ในเครื่องบิน


เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่เพิ่งผ่านไป สายการบิน Virgin Atlantic ได้เติมเชื้อเพลิงชีวภาพสำหรับ Flight ที่จะบินจากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษไปยังกรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นระยะทางการบินประมาณ 1 ชั่วโมง


หลายๆคนอาจจะสงสัยว่ามันจะช่วยให้โลกหายร้อนได้มากน้อยแค่ไหน


มีนักวิชาการออกมาต่อต้านแนวคิดของท่าน Sir Richard Branson ว่าเป็นเพียงแค่การสร้างภาพไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับภาวะโลกร้อนเลยสักนิดเดียว


แต่อย่างน้อยท่าน Sir Richard Branson เจ้าของสายการบิน Virgin Atlantic ก็ขอมีจิตสำนึกในการเป็นส่วนหนึ่งที่จะไม่ทำให้โลกร้อนไปกว่านี้


นักวิชาการหลายคนยังออกมาพูดถึงเรื่องการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพที่อาจทำให้ราคาของพืชผลทางการเกษตรมีราคาสูงขึ้น เพราะบริษัทพลังงานต่างๆเริ่มที่จะเข้าไปกว้านซื้อพืชผลทางการเกษตรเพื่อนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงทางชีวภาพ


สุดท้ายอาจจะทำให้ประชาชนในโลกที่ 3 ลำบาก เพราะไม่สามารถที่จะหาซื้อสินค้าที่เป็นพืชผลทางการเกษตรได้เนื่องจากราคาที่สูงขึ้นอยู่ทุกวันของสินค้าเกษตรดังกล่าว


มีใครเคยหันมามองประเด็น Global Cooling ไหม? Global Cooling แปลว่าอะไร?



จริงๆ แล้วเทคโนโลยีเป็นตัวแปรที่ทำให้มนุษย์มีความเย็นชาต่อกันและนี่คือสาเหตุของการก่อให้เกิด Global Cooling


อีเมลล์ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ทำให้เราห่างเหินจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกันมากขึ้น


เราจะเห็นถึงการพูดหยอกล้อในหมู่เพื่อนว่า คนที่นั่งอยู่ติดกันมีแค่ฝากั้นอยู่เพียงระยะห่างกันไม่ถึง 1 เมตรจะถามอะไรกันก็ส่งอีเมลล์ไปถามแทนที่จะเดินไปถาม ไม่เหมือนกับในอดีตที่เราจะเดินมาหาสู่กันในที่ทำงาน ไปเจ๊าะแจ๊ะกัน

SMS เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่เราจะไม่โทรคุยกันในบางโอกาส


บางครั้งเราส่ง SMS เป็นข้อความที่ยาวมาก ใช้เวลากดบนแป้นหน้าปัดมือถือเป็นเวลาหลายนาที แทนที่จะกดโทรศัพท์ไปคุยกัน ซึ่งอาจจะมีค่าโทรเพียงแค่นาทีละไม่ถึงบาท ไปถามไปคุยเพื่อให้เข้าใจกันมากขึ้น แต่แล้วฝั่งตรงข้ามก็ต้องพยายามกด SMS กลับมา เพื่ออธิบาย ซึ่งใช้เวลาอีกหลายนาทีเช่นเดียวกัน บางครั้งก็ไม่ค่อยสะดวก เนื่องจากอาจจะติดการประชุมหรือกำลังขับรถอยู่ และนี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนให้เห็นกันอยู่เป็นประจำ

คนที่พักอาศัยกันอยู่ในคอนมิเนียมห้องติดกัน เวลาเจอกันก็ไม่ทักทายกัน เวลาอยู่ในลิฟท์ก็ไม่คุยกัน มาจากชั้นเดียวกัน ห้องติดกัน บ้านใกล้เรือนเคียงกัน ไม่เคยรู้จักกันด้วยซ้ำไปว่าเขาชื่ออะไร ทำงานอะไร ต่างคนต่างอยู่ โลกถึงเย็นขึ้นทุกวี่ทุกวัน ธุรกรรมทางการเงินโดยผ่านเครื่อง ATM เป็นสิ่งที่ดีและในปัจจุบันก็มีการทำธุรกรรมทางการเงินโดยผ่านโทรศัพท์มือถือ เป็นการร่นระยะเวลาต่างๆได้ดีมาก ทำให้เกิดความสะดวกสบาย


มีเหตุการณ์หนึ่งที่ผมเคยเจอกับตัวเองมาแล้ว เวลาเครื่อง ATM เสียหรือเราไม่สามารถทำธุรกรรมโดยผ่านโทรศัพท์มือถือหรืออินเตอร์เน็ตได้ด้วยเหตุขัดข้องทางเทคนิค แล้วเราก็เดินเข้าไปหาเจ้าหน้าที่ในธนาคาร เจ้าหน้าที่ผู้นั้นรู้สึกตกใจและในบางครั้งเจ้าหน้าที่ผู้นั้นจะรู้สึกหงุดหงิดกับเรา ทำไมเราเอาภาระมาให้เขา ทำไมไม่เดินออกไปข้างนอกแล้วใช้ ATM ให้เป็นประโยชน์ แต่เขาลืมไปว่า ATM หน้าธนาคารของเขาเครื่องนั้นเกิดเสีย และนี่เองเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์เราเกิดความห่างไกลกันมากขึ้น มีตัวอย่างอีกอันหนึ่งซึ่งน่าตลก แต่ก็เป็นวิวัฒนาการที่ดีคือการสแกนนิ้วมือในการลงทะเบียนเข้าสัมมนา ต่างคนต่างไม่คุยกัน เดินเข้ามาในวันที่ 1 ก็มีการลงทะเบียนโดยผ่านคอมพิวเตอร์ โดยไม่มีเจ้าหน้าที่มาดูแล แต่พอจะต้องกลับมาในภาคบ่ายหลังจากรับประทานอาหารกลางวันก็ใช้การสแกนนิ้วมือแทน และในการสัมมนาวันที่ 2 ก็เช่นเดียวกัน ไม่มีเจ้าหน้าที่มาคุย ไม่มีเจ้าหน้าที่มาต้อนรับ ไม่มีใครทั้งสิ้น ต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างเดินเข้าไปในห้อง ไม่มีใครแนะนำให้รู้จักกัน และนี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราเกิดความรู้สึกห่างไกลกัน ขาดความเป็นกันเอง โลกก็เย็นขึ้นทุกวันๆ Hi-Tech เป็นสิ่งที่ดีแต่ High Touch เป็นสิ่งที่ดีกว่าเพราะสุดท้าย Technology ก็โดนผลักดันโดยมนุษย์ให้เกิดความสะดวกสบาย เรายังเห็นประเทศมหาอำนาจหลายๆประเทศในโลกทะเลาะกันอยู่ พยายามที่จะครองโลกใบนี้ให้เป็นของเขาคนเดียว การรบ การทะเลาะวิวาทกันในประเทศทางฝั่งตะวันออกกลาง เหตุการณ์ที่ไม่สงบในทิเบต เป็นอาการ Global Cooling ทั้งนั้น


หันกลับมามองประเทศของเราบ้าง 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยังไม่เกิดความสงบ ยังทะเลาะวิวาทกัน พยายามแสดงแสนยานุภาพว่าเราใหญ่ ว่าเรามีอิทธิพล สิ่งเหล่านี้เป็น Global Cooling ที่ยังไม่มีใครลุกขึ้นมารณรงค์อย่างเป็นจริงเป็นจังอย่าง Global Warming ที่เราทุกคนต่างมีจิตสำนึกกันไปแล้วไม่มากก็น้อย


และที่เลวร้ายจนประวัติศาสตร์ชาติไทยต้องจารึก เมื่อวันที่ 2 เดือนเมษายน มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจาก 2 พรรคการเมือง ชกต่อยกันในสภาอันทรงเกียรติ ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงประเทศไทยและความที่ส.ส.ทั้ง2 คนต่างก็มีความรู้ การศึกษาที่ดี แทนที่จะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับสังคม กลับกลายมาทำอะไรที่ไม่สมควรไปเสียเอง เย็นชากัน เกลียดขี้หน้ากัน จึงต้องลงมือลงไม้กัน


ถ้าเป็นในสภาประเทศไต้หวันหรือประเทศเกาหลีก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลก ใครๆเขาก็ชินกันแล้ว แต่ ที่นี่ประเทศไทย ครับ

Categories: Articles Anything | Tags: | 1 Comment